บุกตรวจ สำนักสงฆ์เถื่อน หลังครบ 7 วัน พบพระ 8 รูป ไม่ย้ายออก สึกไปแล้วกลับมาห่มเหลือง ค้นกุฏิพบภิกษุณี หากเจ้าของที่ยกให้เป็นสำนักสงฆ์ทำได้ แต่ต้องถูกกฎหมาย
เมื่อวันที่ 31 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ พระครูสุจิตรัตนาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอหนองเสือ นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี นายสุทธิพร ศิวเวทพิกุล นายอำเภอหนองเสือ พ.ต.อ.ธีรยุทธ เสรีนนท์ชัย ผกก.สภ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี
พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง บุกค้นสำนักสงฆ์เถื่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่ในพื้นที่ของบริษัทแห่งหนึ่งใน ต.บึงชำอ้อ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากคณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานี ออกประกาศให้พระทั้งหมดออกจากพื้นที่ดังกล่าวภายใน 7 วัน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 7 ที่ขีดเส้นดังกล่าว
ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นสำนักสงฆ์ดังกล่าวพบว่า ยังคงมีพระสงฆ์อยู่ภายในห้องพัก ซึ่งพอเจ้าหน้าที่เคาะเรียกปรากฏว่า พบพระสงฆ์อีกจำนวน 8 รูป ที่ยังไม่ออกจากพื้นที่ โดยในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่นั้นมีหญิงวัยกลางคน แต่งชุดขาวนำโทรศัพท์ออกมาไลฟ์สด ด่าทอเจ้าหน้าที่อย่างรุนแรง อยู่ตลอดเวลา
จากการตรวจสอบพบว่ามีพระอยู่รูปหนึ่งที่ถูกจับสึกไปแล้วก่อนหน้านี้ เนื่องจากเมาสุรา แต่ปรากฏว่าหลังจากพระรูปนี้สึกไปแล้ว ยังคงกลับมาพักที่สำนักสงฆ์เถื่อนแห่งนี้ และยังแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ออกไปบิณฑบาตเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาบุกรุก และแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ควบคุมตัวไปดำเนินคดีต่อที่ สภ.หนองเสือ
ในขณะที่พระสงฆ์อีกจำนวน 7 รูป ทางคณะสงฆ์แจ้งข้อหาขัดคำสั่งมหาเถรสมาคม และจะดำเนินการตรวจสารเสพติดอีกครั้ง หากพบว่ามีสารเสพติดก็จะจัดสึกและดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ ยังพบกุฏิสุดท้ายพบมีหญิงภิกษุณีโกนหัว 2 คน ห่มจีวรพำนักอยู่โดยบอกว่า บวชชีที่อินเดียและอีกคนบวชที่จ.สระแก้ว ด้วย
นายบุญเชิด กล่าวว่า วันนี้เราเจอพระดื้อ ที่ขัดคำสั่งของมหาเถรสมาคม หลังติดประกาศเอาไว้แล้วที่ห้ามอยู่ภายในสถานที่ยังไม่อนุญาตให้สร้างวัด ซึ่งวันนี้เรามาตรวจสอบดูหลังให้เวลา 7 วัน ให้พระกลับต้นสังกัด แต่พอครบแล้วยังมีพระที่ยังอยู่
ซึ่งเราจะให้คำแนะนำที่ถูกต้อง คือพระสงฆ์ที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็คือพระที่อยู่ในบวรพระพุทธศาสนา จึงอยากให้พระเหล่านี้เอื้อเฟื้อแก่พระธรรมมวินัย กฎหมายและกฎมหาเถรสมาคม เพื่อเป็นที่ศรัทธาของประชาชนที่พบเห็น
“หากท่านไม่กลับวัด ต้นสังกัดก็อยู่ที่เจ้าของที่ เพราะเจ้าของที่มีอำนาจเต็มที่ จะให้ใครอยู่หรือไป ซึ่งหากเจ้าของที่จะยกให้เป็นสำนักสงฆ์ก็ทำได้ แต่ต้องให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ใช่ว่าปล่อยแบบนี้ทำให้เกิดความเสื่อมเสียของคณะสงฆ์ ที่ไม่มีพระผู้ปกครองดูแล ซึ่งจะลำบากกับคณะสงฆ์ ทั้งเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ ที่ต้องเข้ามาดู
ซึ่งพอมาดูปรากฏว่าพบพระเสพยาก็มี เมาสุรา วันนี้พบแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ออกไปบิณฑบาต ที่ผ่านมาเราไม่ได้มาเต็มระบบในการตรวจสอบ เนื่องจาก แห่งนี้ยังเป็นวัดที่ถูกต้อง ที่เรามาในวันนี้ เพราะเราได้รับหนังสือร้องเรียนและทางเจ้าของที่เป็นคนเชิญให้เรามาตรวจสอบ ไม่ได้มาโดยพลการ” นายบุญเชิด กล่าว
ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ไปต้องเป็นเป็นเจ้าของที่ดำเนินการตามกฎหมาย สำหรับพุทธและคณะสงฆ์ ทำหน้าที่ในการปกครองสงฆ์ ให้เป็นมติข้อกฎหมายตามประกาศของสงฆ์ เพราะว่าหากปล่อยเป็นแบบนี้ อีกหน่อยใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ทำได้
ซึ่งวันนี้ก็เพื่อมาดูแลพระสงฆ์พบว่าพระสงฆ์ที่นี้มาจากทั้ง 8 ทิศ ดังนั้นจึงถามวัดต้นสังกัดว่า จะรับพระสงฆ์เหล่านี้กลับวัดหรือไม่ ปรากฏว่าต้นสังกัดไม่รับ จึงจำเป็นที่จะต้องให้ท่านลาสิกขาไป พระสงฆ์ต้องอยู่ในกฎระเบียบและกติกา ทำให้พระสงฆ์ดูกันเองได้ แต่วันนี้พระสงฆ์เหล่านี้ต่างคนต่างอยู่ ซึ่งดูแลกันไม่ได้
นายบุญเชิด กล่าวอีกว่า ส่วนของผู้ที่อ้างสิทธิ์ครอบครองที่ดินผืนนี้ ไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุก แก่เจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจสอบทางเราให้เขาดำเนินการตามสิทธิ์ของเขา แต่เรามีเอกสารการบันทึกถ้อยคำของพระสงฆ์ทุกรูปว่า ไม่มีการขู่เข็ญหรือบังคับ พระสงฆ์ทุกรูปยอมรับเองว่า
ท่านอยู่ที่ไหนมาอย่างไร และหนังสือสุทธิมีไหม และท่านพร้อมที่จะกลับต้นสังกัดหรือไม่ ส่งเอกสารที่เราบันทึกถ้อยคำนั้นเรามีพยานบุคคลที่รับรองกันในวัดพวงแก้วอยู่แล้ว ฉะนั้นเราไม่กังวล เพราะเจ้าของที่ตัวจริงอนุญาตให้เรามา ดังนั้นจึงอยากจะรู้ว่าใครฟ้องเท็จกันแน่