จากกรณีในโลกโซเซียลได้มีการเผยแพร่คลิปภาพสถานที่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า “สำนักธรรมสุขาวดี” ตั้งอยู่ในเนื้อที่ 11 ไร่ ในอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และภายในสถานที่แห่งนี้จะมีการติดป้ายคือ “ไม่ครัทธา ไม่ต้องรักษาไม่หาย ศรัทราเท่านั้นจิงพบปฏิหาริย์ ศรัทธาต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์” รวมทั้ง ป้ายข้อความ “ไม่เชื่อ : ไม่หาย ไม่ศรัทธา : ไม่หาย ไม่นอบน้อม : ไม่หาย มีแต่สงสัย : ไม่หาย ไม่เชื่อเรื่องเวร-กรรม (ไม่ต้องมารักษา)”
โดยสำนักธรรมสุขาวดี แห่งนี้นั้น สามารถรักษาโรคได้ทุกโรคและอาการเจ็บปวดได้ โดยใช้ญาณและฌานในการสื่อสารกับพระเจ้า 5 พระองค์ ผ่านไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้า 5 พระองค์ โดยจะมีเสียงสะอื้น “กึ๊ด ๆ” (เสียงคล้ายหมูร้อง) ผ่านจมูก ซึ่งมีอาจารย์และน้องหญิง เป็นผู้รักษา นั้น
ล่าสุด (17 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับภาพเเละคลิปหลักฐานในอดีตของ อาจารย์น้องหญิง ว่าก่อนจะมาเป็นน้องหญิงอย่างเช่นในปัจจุบันนี้ ต้องผ่านเรื่องราว เเละเหตุการณ์ต่างๆมากมาย โดยเริ่มจากภาพถ่ายขณะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ การเเต่งกายดูไฮโซ ใช้ของเเบรนด์เนม ซึ่งบ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ในอดีต
โดยคลิปที่ 1 (จากยูทูป) เป็นคลิปในอดีตย้อนกลับไปในสมัยที่น้องหญิงยังเป็นนักธุรกิจ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ หลังจากเจ้าตัวได้รับรางวัลนักธุรกิจยอดเยี่ยม ของ DARA Variety Award ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2563 ในคลิปจะเห็นว่าน้องหญิงพูดจาฉะฉานมาก
ส่วนคลิปที่ 2 – 3 เป็นคลิปวิดีโอที่ถ่ายไว้ขณะที่อาจารย์กับน้องหญิง เดินเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญเพียร โดยในคลิปจะเห็นน้องหญิงขี่คออาจารย์ และขี่หลังอาจารย์ขึ้นเขา โดยเจ้าตัวอ้างว่าเป็นคำสั่งของ “องค์พ่อ” ให้น้องหญิงขี่คอและขี่หลังเพราะทั้งสองเป็นร่างเดียวกัน เเยกจากกันมิได้
ขณะที่คลิปที่ 4 – 5 เป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวอ้างว่าค้นพบฌานจากพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ภายหลังจากที่สัมผัสฌานได้ ก็ทำให้น้องหญิงคนเดิมในโลกมนุษย์ได้ตายไปแล้ว และได้เกิดเป็นน้องหญิงในอีกโลก ซึ่งลักษณะการพูดจาก็เปลี่ยนไปเอง ไม่เหมือนกับมนุษย์โลกที่พูดจาปกติทั่วไป จะเห็นว่าน้องหญิงพูดเสียงเล็ก ๆ คล้ายกับเด็ก
จากนั้นคลิปที่ 6 นอกจากคำพูดคำจาที่เปลี่ยนไปเเล้ว ในช่วงเเรก ๆ น้องหญิงยังมีอาการเเปลก ๆ บางครั้งก็เดินเหมือนคนเเก่ เป็นการสัมผัสฌาณจาก “องค์พ่อ” และคลิปที่ 7 ยังปรากฏคลิปที่น้องหญิงไปสักการะอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ปรากฏว่าเจ้าตัวร้องไห้ คุมสติไม่อยู่ ดูที่น้องหญิงอ้างว่าเป็นทริปแรกที่รู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง
จากนั้นทีมข่าวจึงได้มีการตรวจสอบผลงานวิจัยของอาจารย์และน้องหญิง พบว่า ผลงานวิจัยดังกล่าว ถูกจัดทำขึ้นเมื่อปี 2566 โดยในงานวิจัยดังกล่าว ได้ระบุชื่อ ดร. คนหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยทางภาคใต้ แต่ในผลงานวิจัยยังไม่ได้มีการเซ็นเอกสารรับรองแต่อย่างใด และก็ไม่ได้มีลายเซ็นของอาจารย์และน้องหญิงด้วยเช่นกัน
และในขณะที่เรากำลังมีการตรวจสอบผลงานวิจัยของอาจารย์และน้องหญิง ทีมข่าวได้พบรูปภาพในอดีตของน้องหญิงที่แสดงถึงการศึกษา ว่าเจ้าตัวได้มีการเรียนจบปริญญาตรี เคมีวิเคราะห์ มหาวิทยาลัยราชมงคล (กรุงเทพฯ) พร้อมทั้งลงรูปภาพ น้องหญิงอยู่ในห้อง lab สมัยเรียน และรูปถ่ายใส่ชุดครุยตอนจบการศึกษา ซึ่งได้มีการถ่ายรูปรวมกันร่วมกันกับกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้ยังมีการระบุว่า ตัวน้องหญิงเรียนจบชั้นปริญญาโท วิทยาศาสตร์-สิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้ระบุสถาบันที่จบการศึกษา รวมทั้งเคยเป็นเคยนายกโรตารี คลับ ปี 2021
ต่อมาผู้สื่อข่าวจึงได้มีการสอบถามน้องหญิงเกี่ยวกับงานวิจัยชุดนี้ เนื่องจากมีชื่อนักวิชาการของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งเป็นการแอบอ้างหรือไม่ ซึ่งทางน้องหญิงยืนยันว่าไม่ได้มีการแอบอ้างชื่อนักวิชาการ เนื่องจากนักวิชาการคนดังกล่าว เป็นลูกศิษย์ที่เคยเข้ารับการรักษากับตนเอง และเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยให้ อีกทั้งนักวิชาการรายนี้ ยังให้ความสนใจกับศาสตร์แขนงนี้ เนื่องจากเข้ารับการรักษากับตนแล้วหาย
นอกจากนี้ น้องหญิงยังได้เล่าถึงภูมิหลังในอดีตก่อนที่จะมาเป็นน้องหญิงในปัจจุบันนี้ ว่า เดิมทีตนชื่อ น.ส.โสรวีร์ หลังจากที่ตนเองจบการศึกษา ได้ทำงานบริษัทเอกชนหลายแห่งและเคยเปิดบริษัทเป็นของตนเองด้วย แต่ช่วงหลังมีปัญหาชีวิตเพราะบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องความรัก เนื่องจากถูกแฟนทิ้งและยังมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพ เพราะขนาดที่ยังใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ตนเองชอบปาร์ตี้และดื่มสังสรรค์ เป็นเหตุทำให้ร่างกายทรุดโทรมและเจ็บป่วย ซึ่งจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ตนฉุกคิดได้ว่าจะใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จึงเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฝึกอยู่ตนเอง
จนกระทั่งได้มาเจอกับอาจารย์โดยบังเอิญก็รู้สึกว่าเคมีตรงกัน จนตัดสินใจพากันเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญเพียร ซึ่งใช้เวลาอยู่หลายปี กว่าที่จะค้นพบฌานจากพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ภายหลังจากที่สัมผัสฌานได้ก็ทำให้น้องหญิงคนเดิมในโลกมนุษย์ได้ตายไปแล้ว และได้เกิดเป็นน้องหญิงในอีกโลก และลักษณะการพูดจาก็เปลี่ยนไปเองไม่เหมือนกับมนุษย์โลกที่พูดจาปกติทั่วไป
ซึ่งช่วงแรก ๆ ตนเองจะพูดเสียงเล็ก ๆ คล้ายกับเด็ก แต่บางคนไม่เข้าใจก็มองว่าเหมือนคนบ้า แต่ตนเองก็ไม่หวั่นไหวต่อคำดูถูก เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จากองค์พ่อให้ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติทางโลก เพื่อให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เนื่องจากตนเองได้เกิดมาในชาติสุดท้ายแล้ว ยืนยันว่าตนและอาจารย์จะยังช่วยเหลือมวลมนุษยชาติต่อไป หลังจากที่ได้ช่วยเหลือไปแล้วหลายหมื่นคน โดยเป้าหมาย คือ 5 ล้านคน รวมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติด้วย
วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุยกับ นายภาณุมาศ จิตรวศินกุล เจ้าของเพจ “เฮียเปี๊ยกช่วยด้วย” เปิดเผยว่า ตนเองรู้จักสำนักสุขาวดี เนื่องจากมีนักข่าวท้องถิ่นในจังหวัดอุดรธานี ส่งคลิปทาง TikTok มาให้ดู ซึ่งทันทีที่เห็นคลิปตนเองก็เกิดคำถาม ว่าการรักษาด้วยวิธีนี้ แค่การพูดตามจะหายจริง ๆ หรือไม่ นอกจากนี้คำกล่าวอ้างของอาจารย์ บอกว่า ได้รับการถ่ายทอดพลังเเละได้รับการสื่อสารจากพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ตนก็ยิ่งเกิดความสงสัย เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้แตกดับปรินิพพานไปหมดแล้ว เหตุใดจึงสามารถสื่อสารกับอาจารย์ทั้งสองท่านได้อยู่ เมื่อมีความสงสัย ตนเองก็ต้องการพิสูจน์ จึงตัดสินใจเดินทางไปที่สำนักดังกล่าว เมื่อไปถึงก็พบว่ามีบุคคล 3 คน ที่มีบทบาทในการรักษาเเละถ่ายทอดความเชื่อ โดยบุคคลเเรกเรียกว่า “อาจารย์” อีกคนเรียกเเทนตัวเองว่า “น้องหญิง” ทำหน้าที่สื่อสารเเละถ่ายทอดพลัง นอกจากนี้ยังมีผู้ชายอีกคน ชื่อ “พี่โดม” ทำหน้าที่คล้ายกับเวชระเบียน ที่จะคอยจดข้อมูลและประวัติของผู้เข้ารับการรักษา
ซึ่งตนเองมีอาการปวดคอเรื้อรังอยู่ จึงทดลองเข้ารับการรักษา โดยทำตามขั้นตอนทุกประการ เริ่มตั้งแต่ลงทะเบียน เข้ารับกานอบรม ก่อนจะไปพบอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ซึ่งระหว่างการรักษาอาจารย์ก็จะให้พูดตาม แล้วจะถามอยู่เรื่อย ๆ ว่าหายหรือไม่ ถ้าตอบว่ายังไม่หาย ก็จะมีการรักษาแบบเดิมซ้ำ ๆ แต่จะมีการเปลี่ยนพล็อตเรื่องไปเรื่อย ๆ คล้ายกับการสุ่ม เช่น ครั้งแรกบอกว่าป่วยเพราะเหตุนี้ ครั้งต่อไปบอกว่าป่วยเพราะเหตุนั้น ก็จะมีการเเก้กรรมหรือขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร ก่อนจะรักษาใหม่ ซึ่งตนเข้ารับการรักษาอยู่นานไม่ต่ำกว่า 30 นาที เเต่อาการก็ไม่ดีขึ้น เเละขณะนั้นตนเองมีธุระต้องไปทำต่อ จึงขอยุติการรักษา โดยอาจารย์อ้างว่าสาเหตุที่ตนไม่หายเนื่องจากจิตไม่นิ่ง
หากถามว่าเหตุใดจึงยังมีคนหลงเชื่อ เฮียเปี๊ยก ตั้งข้อสังเกต ว่า สำนักดังกล่าวมีเทคนิคจูงใจคนที่สูงมาก เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการอบรม จะมีการพูดถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา การรักษาศีล 5 ต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้ว ประกอบกับพื้นฐานของผู้เฒ่าผู้เเก่ในภาคอีสาน จะชอบเข้าวัดฟังธรรม เมื่อเจอคำสอนที่เป็นความเชื่อเดิมอยู่เเล้ว ก็คล้อยตามได้ง่าย เเล้วจากนั้นอาจารย์ค่อยใส่ความเชื่อเกี่ยวกับศาสตร์ที่ตัวเองอ้างว่าค้นพบ นอกจากนี้อาจารย์น้องหญิง ยังพยายามพูดถึงศาสตร์ของฟิสิกส์ , ควันตั้ม , พลังนิวตัน ฯลฯ ซึ่งชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจ ก็จะมองว่าอาจารย์น่าเชื่อถือ เพราะเป็นคนมีความรู้ เมื่อเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ จะหายจริงหรือไม่ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เเต่ส่วนตัวมองว่าคนที่บอกว่าหาย เป็นอุปทานหมู่หรือไม่
นอกจากนี้ตัวของอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ตนเองก็ยังไม่ทราบตัวตนที่เเท้จริง เพราะวันที่เข้าไปรักษา ตนพยายามสอบถามชื่อ-นามสกุล เพื่อที่จะเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบ เพราะมองว่าหากสิ่งที่ค้นพบเป็นประโยชน์จริง อาจารย์ก็สมควรได้รับการยกย่องว่าได้ช่วยเหลือคน แต่อาจารย์ก็ไม่ยอม อ้างว่า “องค์พ่อ” ไม่อนุญาตให้เปิดเผยชื่อจริง ซึ่งตนก็มองว่าแปลก แต่ก็พยายามคิดในแง่ดี ว่า อาจารย์ทั้งสองท่านคงอยากปิดทองหลังพระ
เฮียเปี๊ยก ยังบอกอีกว่า ตนเองมีความเป็นห่วงประชาชน หากมีคนเชื่อศาสตร์ดังกล่าวมากขึ้น จะเกิดปัญหาตามมาหรือไม่ เพราะคนเจ็บป่วยไม่ว่าอาการใด ๆ ก็ตาม ก็จะเเห่กันไปหาอาจารย์ทั้งหมด เเทนที่จะไปโรงพยาบาล